รมว.ยุติธรรม ดีเดย์ปล่อยตัวผู้พักการลงโทษที่มีความประพฤติดี เข้าทำงาน “สมุทรปราการโมเดล” เพิ่มอีก 41 คน รวมยอดผู้เข้าร่วมโครงการพุ่งขึ้นเป็น 145 คน
ด้านอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ร่วมลงนาม MOU กับกรมคุมประพฤติ และผู้ประกอบการ
ติดกำไล EM สร้างต้นแบบและขุมพลังแรงงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
วันที่ 11 ตุลาคม 2564 ณ เรือนจำกลางสมุทรปราการ อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการประสานความร่วมมือ ระหว่างกรมราชทัณฑ์ กับ สถานประกอบการ และพิธีปล่อยตัวผู้พ้นโทษออกไปทำงาน โครงการ “สร้างงาน สร้างอาชีพ ฝึกทักษะการทำงานในภาคอุตสาหกรรม เรือนจำกลางสมุทรปราการ (โครงการ พักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษ)” โดยมี ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นางสาวณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายวิตถวัลย์ สุนทรขจิต อธิบดีกรมคุมประพฤติ นายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ นายโฆสิต สุวินิจจิต ประธานอนุกรรมการศึกษาแนวทางการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม ราชทัณฑ์ นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายสิทธิ สุธีวงศ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายยุทธนา นาคเรืองศรี ผู้บัญชาการเรือนจำกลางสมุทรปราการ ตลอดจนผู้บริหารหน่วยงานเอกชนและผู้ประกอบการในจังหวัดสมุทรปราการ ร่วมในพิธี
นายสมศักดิ์ฯ กล่าวว่า ผู้ที่ได้รับการพักโทษออกไปทำงานเป็นผู้ต้องขังเกรดดี เพียงแต่มีความจำเป็นและก้าวพลาดเข้ามาอยู่ในกรมราชทัณฑ์ ไม่ใช่พวกบัวใต้น้ำหรือนักโทษประเภทเดรัจฉาน เช่น ผู้กระทำผิดคดีฆ่าข่มขืน ฆาตกรต่อเนื่อง เรียกค่าไถ่หรือคดียาเสพติดรายใหญ่ เพราะผู้ต้องขังกลุ่มนี้จะไม่ได้รับการพักโทษออกมาเหมือนกับบุคคลที่ได้รับการพักโทษในวันนี้ ขอให้พี่น้องประชาชนเข้าใจและเชื่อมั่นเพราะกรมราชทัณฑ์จะคัดเลือกผู้พ้นโทษให้แก่ผู้ประกอบการ เพื่อเติมเต็มฝึกอาชีพในหลายด้าน ซึ่งการสร้างนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ โดยจะได้เรียนรู้ทั้งด้านภาษา คณิตศาสตร์ เพื่อให้ผู้พ้นโทษอยู่ด้วยความสุข เลี้ยงอาชีพได้ แก้ไขให้เกิดความสมดุล
<script async custom-element="amp-auto-ads"
src="https://cdn.ampproject.org/v0/amp-auto-ads-0.1.js">
</script>
นายสมศักดิ์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอฝากถึงพี่น้องข้าราชการกรมราชทัณฑ์ว่า ในส่วนของกฎหมายยาเสพติด หากกฎหมายดังกล่าวมีผลบังคับใช้จะมีบุคคลได้ออกจากเรือนจำไม่ต่ำกว่า 20,000 คน เพราะจะได้รับการพิจารณา ตามกฎหมายใหม่ ในส่วนการปล่อยตัวเราตั้งเป้าให้มีงานทำ ด้านผู้ค้ายาเสพติดหากปล่อยตัวและกลับมาค้ายาเสพติดอีกจะถูกยึดทรัพย์ เพื่อแก้ปัญหาแบบเบ็ดเสร็จ เพื่อเสริมความเข้มแข็งในส่วนต่าง ๆ พร้อมทั้งขอขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะผู้ประกอบการในจังหวัดสมุทรปราการที่ให้โอกาสผู้พักการลงโทษที่มีความประพฤติดีได้มีโอกาสออกไปทำงานกับสถานประกอบการ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการดำเนินการโครงการนี้จะเป็นตัวแบบความสำเร็จเพื่อขยายผลดำเนินการออกไปในพื้นที่จังหวัดอื่นต่อไปด้วย
นายอายุตม์ฯ กล่าวว่า โครงการสร้างงาน สร้างอาชีพ ฝึกทักษะการทำงานในภาคอุตสาหกรรม เรือนจำกลางสมุทรปราการ (โครงการพักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษ)” หรือ “สมุทรปราการโมเดล” เป็นโครงการที่กรมราชทัณฑ์ดำเนินการนำร่องขึ้นเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับสังคมและผู้ประกอบการ โดยใช้กลไกการพักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษ คุมความประพฤติ และติดอุปกรณ์ติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ (EM) โดยผู้ประกอบการเป็นผู้จัดหาที่พักพิงและรับเป็นผู้อุปการะดูแลตลอดการทำงาน มีค่าจ้างและสวัสดิการตามกฎหมายแรงงาน เบื้องต้นมีสถานประกอบการที่สนใจและ เข้าร่วมโครงการ จำนวน 8 แห่ง ประกอบด้วย บริษัท ซี อี แมน โฮลดิ้ง จำกัด, บริษัท วีเอส 09 ออริจินอลเฮิร์บ, บริษัท รีเทล บิซิเนส โซลูชั่นส์ จำกัด (RBS), บริษัท ไต้ทง แมชินเนอรี่ จำกัด, บริษัท โซโลมอน แมทเทรส (ไทยแลนด์) จำกัด, บริษัท JWD แปซิฟิค ห้องเย็น จำกัด, บริษัท โชคสมุทรมารีน และบริษัท JPK โคลด์ สโตเรจ จำกัด ตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน 2564 ได้รับผู้ร่วมโครงการไปทำงานแล้ว จำนวน 104 คน ดังนั้น เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์เดียวกันของทุกภาคส่วนที่จะร่วมเป็นสังคมแห่งการให้โอกาสให้อาชีพแก่ผู้ต้องขัง กรมราชทัณฑ์ จึงได้จัดพิธีลงนาม MOU กับผู้ประกอบการขึ้น และในโอกาสเดียวกันนี้กรมราชทัณฑ์ยังได้ผสานความร่วมมือกับกรมคุมประพฤติ และผู้ประกอบการ ร่วมกันจัดพิธีปล่อยตัวผู้พ้นโทษออกไปทำงาน โดยติดกำไล EM จำนวน 41 คน จาก 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท วีเอส 09 ออริจินอลเฮิร์บ และบริษัท ไต้ทงแมชินเนอรี่ จำกัด รวมผู้เข้าร่วมโครงการนี้แล้วทั้งสิ้น จำนวน 145 คน เพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจแก่ผู้พ้นโทษที่จะออกไปทำงานให้มีความมั่นใจในการกลับตน เป็นคนดี เป็นกำลังแรงงานที่ขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจ กลับสู่ชุมชนและสังคม โดยไม่หวนกลับมากระทำผิดซ้ำ ซึ่งกรมราชทัณฑจะเร่งขับเคลื่อนโครงการฯ ดังกล่าวในพื้นที่อื่นให้ครอบคลุมทั่วประเทศต่อไป